จากเรื่องเล่าต่อกันมาในท้องถิ่น และมีความใกล้เคียงกับเนื้อหาหนังสือเรียนสมัยก่อน ผมคัดมาลอกจากใบตำนานเจ้าแม่สามมุข ซึ่งจัดทำถวายเจ้าแม่สามมุขโดย นายสิทธิชัย และครอบครัวไชยยืนยงพิพัฒน์
ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยาบริเวณทะเลบางแสน และเขาสามมุขยังไม่มีบ้านเรือนผู้คนหนาแน่นเหมือนปัจจุบัน แต่ก่อนชื่อ “บางแสน” และเขาสามุขยังไม่ปรากฏ จะมีแต่ตำบลอ่างหิน ซึ่งปัจจุบันก็คือ ตำบลอ่างศิลา ซึ่งเป็นชุมชนของชาวประมงริมทะเล ณ ต.อ่างหิน (อ่างศิลา) นี้เอง มีเจ้าของโป๊ะชื่อ “กำนันบ่าย” มีลูกชายชื่อ “แสน” ห่างจาก ต.อ่างหินพอประมาณ มียายกับหลานอาศัยอยู่ ยายมีชื่อเสียงเรียงนามใดไม่ปรากฏ ส่วนหลานนั้นมีชื่อว่า “สามมุข” เป็นคนอยู่ในเมืองปลาสร้อย (จ.ชลบุรีในปัจจุบัน) เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต ได้อาศัยอยู่กับยายจนกระทั่งโต สามมุขมักจะชอบดูหนุ่ม-สาวรวมทั้งเด็ก ๆ ที่มาเล่นว่าวในหน้าลมอยู่ริมเชิงเขาประจำ และมีเพื่อนที่คอยหยอกล้อเล่นอยู่ประจำ ก็คือลิงป่า ที่ลงมาจากเขาแถวนั้น อยู่มาวันหนึ่งขณะที่สามมุขกำลังเล่นอยู่ ก็ได้มีว่าวขาดตัวหนึ่งลอยมาอยู่ตรงหน้า สามมุขจึงได้เก็บว่าวตัวนั้นไว้ และได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “แสน” วิ่งตามว่าวขาดตัวนั้นมา จึงได้พบกับสามุขเข้า ทั้งสองจึงได้รู้จักกัน และแสนก็ได้มอบว่าวตัวนั้นให้เป็นที่ระลึก ต่อมาทั้งสองได้พบปะกันเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดเป็นความรักขึ้น และได้สาบานต่อหน้าขุนเขาแห่งนี้ว่า “ทั้งสองจะครองรักกันชั่วนิรันดร หากว่าใครผิดคำสาบานจะกระโดดหน้าผาแห่งนี้ตายตามกัน” และแสนก็ได้มอบแหวนแก่สามมุขไว้เป็นสักขีพยาน และได้ขอร้องผู้เป็นพ่อให้ไปสู่ขอสามมุข เมื่อกำนันบ่ายซึ่งเป็นพ่อของแสนได้ทราบเรื่องเข้าก็ไม่พอใจจึงกีดกัน ทำให้ทั้งสองไม่ได้พบกัน จนกระทั่งกำนันบ่ายได้ไปสู่ขอลูกสาวเจ้าของโป๊ะให้กับแสน และกำหนดพิธีแต่งงานขึ้น ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั้งตำบลอ่างหินจนรู้ถึงสามมุข
พอถึงวันแต่งงานของแสนได้มีพิธีใหญ่โตสมกับเป็นงานกำนัน ขณะที่แขกเริ่มทยอยกันมารดน้ำสังข์อวยพรให้คู่บ่าวสาวทั้งสอง แสนได้ก้มหน้านิ่งจนกระทั่งน้ำสังข์ที่รดลงมามีแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย แสนจำได้ว่าเป็นแหวนที่มอบให้กับสามมุข แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นสามมุขวิ่งหนีออกไปแล้ว แสนได้นึกถึงคำสาบานจึงได้วิ่งไปที่เชิงเขาแต่ก็สายเสียแล้ว สามมุขได้ขึ้นไปที่หน้าผาแห่งนั้น และได้ทิ้งร่างลงมาจากหน้าผาแห่งนั้นสิ้นชีพอยู่ริมทะเล เมื่อเป็นเช่นนั้นแสนได้กระโดดตาม ชาวบ้านต่างพากันเศร้าสลดใจ ต่างพากันแช่งกำนันบ่าย ต่อมากำนันบ่ายได้นำถ้วยชามสิ่งของต่าง ๆ มาไว้หน้าถ้ำตรงหน้าผานั้น และได้ตั้งชื่อเขาลูกนี้ว่า “เขาสามมุข” และหาดที่ติดกันเรียกว่า “หาดบางแสน” ต่อมาชาวบ้านพากันเล่าว่า “เมื่อตกกลางคืนได้เห็นร่างหญิงสาวมายืนตรงหน้าผานั้นทุกคืน” จึงได้ช่วยกันสร้างศาลนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่สิงสถิต และเคารพสักการะของชาวบ้าน และชาวประมงเป็นอันมาก เมื่อเวลาจะออกไปหาปลามักจุดประทัดบนบานขอให้ได้ปลาเต็มลำเรือมา อย่าได้เจอลมพายุ แต่เมื่อเจอลมพายุกลางทะเลแล้ว ยิ่งต้องจุดธูปขอเจ้าแม่ให้รอดปลอดภัยจากอันตราย แล้วก็สัมฤทธิ์ผลอยู่เรื่อยมา
ชื่อเสียงของเจ้าแม่สามมุขเลื่องลือทั่วไป ขนาดท่านสุนทรภู่อยู่กรุงเทพเดินทางมาเมืองแกลง (ระยอง) เพื่อเยี่ยมบิดา ในปี พ.ศ.๒๓๕๐ พอแล่นเรือผ่านเมืองปลาสร้อย (จ.ชลบุรี) ก็ได้เกิดพายุขึ้น ท่านสุนทรภู่จึงได้ออกปากบนบานเจ้าแม่สามมุขก็เป็นสัมฤทธิ์ผลเช่นกัน และได้เดินทางต่อไปอย่างปลอดภัย ท่านสุนทรภู่ได้เขียนนิราศพรรณนาถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่สามมุขไว้ดัง นี้
ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยาบริเวณทะเลบางแสน และเขาสามมุขยังไม่มีบ้านเรือนผู้คนหนาแน่นเหมือนปัจจุบัน แต่ก่อนชื่อ “บางแสน” และเขาสามุขยังไม่ปรากฏ จะมีแต่ตำบลอ่างหิน ซึ่งปัจจุบันก็คือ ตำบลอ่างศิลา ซึ่งเป็นชุมชนของชาวประมงริมทะเล ณ ต.อ่างหิน (อ่างศิลา) นี้เอง มีเจ้าของโป๊ะชื่อ “กำนันบ่าย” มีลูกชายชื่อ “แสน” ห่างจาก ต.อ่างหินพอประมาณ มียายกับหลานอาศัยอยู่ ยายมีชื่อเสียงเรียงนามใดไม่ปรากฏ ส่วนหลานนั้นมีชื่อว่า “สามมุข” เป็นคนอยู่ในเมืองปลาสร้อย (จ.ชลบุรีในปัจจุบัน) เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต ได้อาศัยอยู่กับยายจนกระทั่งโต สามมุขมักจะชอบดูหนุ่ม-สาวรวมทั้งเด็ก ๆ ที่มาเล่นว่าวในหน้าลมอยู่ริมเชิงเขาประจำ และมีเพื่อนที่คอยหยอกล้อเล่นอยู่ประจำ ก็คือลิงป่า ที่ลงมาจากเขาแถวนั้น อยู่มาวันหนึ่งขณะที่สามมุขกำลังเล่นอยู่ ก็ได้มีว่าวขาดตัวหนึ่งลอยมาอยู่ตรงหน้า สามมุขจึงได้เก็บว่าวตัวนั้นไว้ และได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “แสน” วิ่งตามว่าวขาดตัวนั้นมา จึงได้พบกับสามุขเข้า ทั้งสองจึงได้รู้จักกัน และแสนก็ได้มอบว่าวตัวนั้นให้เป็นที่ระลึก ต่อมาทั้งสองได้พบปะกันเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดเป็นความรักขึ้น และได้สาบานต่อหน้าขุนเขาแห่งนี้ว่า “ทั้งสองจะครองรักกันชั่วนิรันดร หากว่าใครผิดคำสาบานจะกระโดดหน้าผาแห่งนี้ตายตามกัน” และแสนก็ได้มอบแหวนแก่สามมุขไว้เป็นสักขีพยาน และได้ขอร้องผู้เป็นพ่อให้ไปสู่ขอสามมุข เมื่อกำนันบ่ายซึ่งเป็นพ่อของแสนได้ทราบเรื่องเข้าก็ไม่พอใจจึงกีดกัน ทำให้ทั้งสองไม่ได้พบกัน จนกระทั่งกำนันบ่ายได้ไปสู่ขอลูกสาวเจ้าของโป๊ะให้กับแสน และกำหนดพิธีแต่งงานขึ้น ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั้งตำบลอ่างหินจนรู้ถึงสามมุข
พอถึงวันแต่งงานของแสนได้มีพิธีใหญ่โตสมกับเป็นงานกำนัน ขณะที่แขกเริ่มทยอยกันมารดน้ำสังข์อวยพรให้คู่บ่าวสาวทั้งสอง แสนได้ก้มหน้านิ่งจนกระทั่งน้ำสังข์ที่รดลงมามีแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย แสนจำได้ว่าเป็นแหวนที่มอบให้กับสามมุข แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นสามมุขวิ่งหนีออกไปแล้ว แสนได้นึกถึงคำสาบานจึงได้วิ่งไปที่เชิงเขาแต่ก็สายเสียแล้ว สามมุขได้ขึ้นไปที่หน้าผาแห่งนั้น และได้ทิ้งร่างลงมาจากหน้าผาแห่งนั้นสิ้นชีพอยู่ริมทะเล เมื่อเป็นเช่นนั้นแสนได้กระโดดตาม ชาวบ้านต่างพากันเศร้าสลดใจ ต่างพากันแช่งกำนันบ่าย ต่อมากำนันบ่ายได้นำถ้วยชามสิ่งของต่าง ๆ มาไว้หน้าถ้ำตรงหน้าผานั้น และได้ตั้งชื่อเขาลูกนี้ว่า “เขาสามมุข” และหาดที่ติดกันเรียกว่า “หาดบางแสน” ต่อมาชาวบ้านพากันเล่าว่า “เมื่อตกกลางคืนได้เห็นร่างหญิงสาวมายืนตรงหน้าผานั้นทุกคืน” จึงได้ช่วยกันสร้างศาลนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่สิงสถิต และเคารพสักการะของชาวบ้าน และชาวประมงเป็นอันมาก เมื่อเวลาจะออกไปหาปลามักจุดประทัดบนบานขอให้ได้ปลาเต็มลำเรือมา อย่าได้เจอลมพายุ แต่เมื่อเจอลมพายุกลางทะเลแล้ว ยิ่งต้องจุดธูปขอเจ้าแม่ให้รอดปลอดภัยจากอันตราย แล้วก็สัมฤทธิ์ผลอยู่เรื่อยมา
ชื่อเสียงของเจ้าแม่สามมุขเลื่องลือทั่วไป ขนาดท่านสุนทรภู่อยู่กรุงเทพเดินทางมาเมืองแกลง (ระยอง) เพื่อเยี่ยมบิดา ในปี พ.ศ.๒๓๕๐ พอแล่นเรือผ่านเมืองปลาสร้อย (จ.ชลบุรี) ก็ได้เกิดพายุขึ้น ท่านสุนทรภู่จึงได้ออกปากบนบานเจ้าแม่สามมุขก็เป็นสัมฤทธิ์ผลเช่นกัน และได้เดินทางต่อไปอย่างปลอดภัย ท่านสุนทรภู่ได้เขียนนิราศพรรณนาถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่สามมุขไว้ดัง นี้
"... พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่ง แลตลิ่งไรไรยังไกลเหลือ
เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือ คลื่นก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย
เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสำมุก จงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย
พอขาดคำน้ำขึ้นทั้งคลื่นคลาย ทั้งสายนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยมา.."
(จากหนังสือภาษาไทยมัธยมปลาย เมื่อครั้งที่สุนทรภู่เดินทางไปหาบิดาที่เมืองแกลงครั้งแรกปี พ.ศ.๒๓๕๐)
ในสมัยก่อนหากท่านจะมากราบไหว้ ต้องรอให้น้ำลงเสียก่อนจึงปีนเข้ามาได้ แต่ถ้าน้ำขึ้นต้องนำเรือมา ต่อมาสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการระเบิดหน้าผาและเขาสามมุขเพื่อทำถนนรอบเขาสามมุข จึงทำให้หน้าผาแห่งนั้นหายไปและเตี้ยลงกว่าเดิม ปากถ้ำถูกปิดลงแต่ศาลเดิมกลับมีหินจากหน้าผาหล่นลงมาทำให้ศาลเสียหายลงเป็น อย่างมาก ต่อมาคนทำงานที่ทำถนนเกิดล้มป่วยตามกัน จึงได้จุดธูปขอขมาและซ่อมแซมศาลให้ใหม่ ต่อมามีการบูรณะขึ้นปี พ.ศ.๒๔๓๖ และต่อเติมจนถึงปัจจุบัน
ในสมัยก่อนหากท่านจะมากราบไหว้ ต้องรอให้น้ำลงเสียก่อนจึงปีนเข้ามาได้ แต่ถ้าน้ำขึ้นต้องนำเรือมา ต่อมาสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการระเบิดหน้าผาและเขาสามมุขเพื่อทำถนนรอบเขาสามมุข จึงทำให้หน้าผาแห่งนั้นหายไปและเตี้ยลงกว่าเดิม ปากถ้ำถูกปิดลงแต่ศาลเดิมกลับมีหินจากหน้าผาหล่นลงมาทำให้ศาลเสียหายลงเป็น อย่างมาก ต่อมาคนทำงานที่ทำถนนเกิดล้มป่วยตามกัน จึงได้จุดธูปขอขมาและซ่อมแซมศาลให้ใหม่ ต่อมามีการบูรณะขึ้นปี พ.ศ.๒๔๓๖ และต่อเติมจนถึงปัจจุบัน
สำหรับศาลที่มีขึ้นมาสองศาลนั้นศาลดั้งเดิมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก มีมานานนับร้อย ๆ ปี ส่วนอีกศาลตั้งหลบอยู่ทางทิศตะวันออก เพิ่งสร้างขึ้นไม่นานโดยชาวจีน “ศาลหรือโรงเจ” ซึ่งชาวจีนบริหารเป็นสมาคมศาลเจ้าของจีน เจ้าแม่สามมุขนั้นมีผู้นับถือกว้างขวางโดยทั่วไป โดยเฉพาะแม่ค้าและชาวประมงย่านสมุทรปราการ แม่กรอง มหาชัย และชลบุรี เมื่อจะออกหาปลามักจะเซ่นไหว้ด้วย มะพร้าวอ่อน ขนมครก ว่าว มาลัย ผลไม้ ก็สัมฤทธิ์ผลเรื่อยมา แต่ชาวเรือไม่บนว่าวเพราะเวลาออกเรือไปหาปลามักเจอลมแรง ซึ่งก็เคยเจอกันมาแล้ว หากเป็นเรื่องเกี่ยวกันการบนไม่ให้โดนเกณฑ์ทหาร เรื่องขายที่ดิน และเรื่องสำคัญต่าง ๆ มักจะบนโดยการบวช หัวหมู เป็ด ไก่ บนหนังกลางแปลง ลิเกก็มี แล้วแต่ ท่านจะเลือกบนเอาตามเรื่องสำคัญมากน้อย เคยมีคนที่เขาสามมุขเป็นคนยากจน มาจุดธูปขอไม่ให้โดนทหาร ว่า “หากจับได้ใบดำจะแก้บนโดยการเดินจากที่ว่าการอำเภอเมืองชลบุรีมากราบไหว้ เจ้าแม่สามมุข” ก็สำเร็จมาแล้ว ส่วนลิงที่ที่อาศัยอยู่บริเวณเขาสามมุข มีมาแต่โบราณ หากมีใครมาแกล้งลิง หรือจับลิงไป มักจะล้มป่วยเกิดอาเพศต่าง ๆ เดือนร้อนไปทั้งครอบครัว
เล่ากันว่ามีผู้มาจับลิงบริเวณเขาสามมุขไปเพื่อประโยชน์อันใดไม่ทราบแน่ชัด แต่พอไม่กี่วันต้องนำลิงกลับมาคืนให้ทางศาล ฉะนั้นหากท่านที่มาเที่ยวดูลิงคิดจะจับลิงไปโปรดคิดสักนิด เพราะหากท่านจับไปแล้ว ๆ นำมาคืนนั้น ลิงจะเข้าฝูงยากมากจะต้องนำมาเลี้ยงที่ศาลก่อน เพื่อให้ลิงทั้งฝูงเดินด้วยกันจนมีกลิ่นเดียวกัน จึงจะนำไปเข้าฝูงได้ หากท่านนำมาปล่อยลิงทั้งฝูงอาจจะรุมกัดตาย
ศาลเจ้าแม่สามมุข(ศาลดั้งเดิม)สร้างมานานกว่า ๑๐๐ ปี (ปัจจุบันปี พ.ศ.๒๕๕๖) ตั้งอยู่บริเวณ หน้าผาเขาสามมุข ดังคำเล่าของชาวบ้านและผู้เฒ่าผู้แก่ในบริเวณนั้น
ศาลเจ้าแม่สามมุข(ศาลดั้งเดิม)สร้างมานานกว่า ๑๐๐ ปี (ปัจจุบันปี พ.ศ.๒๕๕๖) ตั้งอยู่บริเวณ หน้าผาเขาสามมุข ดังคำเล่าของชาวบ้านและผู้เฒ่าผู้แก่ในบริเวณนั้น
รูปถ่ายเจ้าแม่สามมุข (ห้อยคอ)
อ้างอิงรูปจากเว็บ http://img.tarad.com/shop/a/akekaluksiam/img-lib/spd_20130318112523_b.jpg
----------------------------------------------------------
อ่านเพิ่มเติมอีกตำนาน ที่แถวบ้านผมไม่มีเล่า
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีนักดนตรี นำเรื่องราวจากตำนานเจ้าแม่สามมุข
มาร้องเป็นบทเพลงและมีคนนำมาทำเป็นวิดีโอให้เห็นเหมือนกัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตำนานรักกับมุมมองพระพุทธศาสนา
หากมองเรื่องราวจากตำนานแล้ว ในฐานะที่เป็นชาวพุทธจะเห็นว่า ในตำนาน
เรื่องเล่าล้วนแฝงด้วยข้อคิดและความรู้ หลายข้อ
***********************************************
ดูทะเบียนศาลเจ้า จากคณะกรรมการควบคุมตรวจตราสอดส่องกิจการต่างๆ ของศาลเจ้า (คกก.ศจ.)
ดูทะเบียนศาลเจ้า จากคณะกรรมการควบคุมตรวจตราสอดส่องกิจการต่างๆ ของศาลเจ้า (คกก.ศจ.)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น